Magento นั้นถูกออกแบบเพื่อสร้างเว็บ e-Commerce ประสิทธิภาพสูง มี Feature ที่เกี่ยวข้องกับ e-Commerce มากมายที่ถูกใส่เข้ามา วันนี้ผมจะมาแนะนำ Feature เด็ดๆ ของ Magento ที่ช่วยให้เว็บ e-Commerce ของเรา ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้นครับ
1. ระบบแบ่งกลุ่มลูกค้า
ระบบแบ่งกลุ่มลูกค้า ช่วยให้เราสามารถกำหนดเงื่อนไขของราคาสินค้าหรือโปรโมชั่นต่างๆ แยกกันได้ เช่น กลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้ Login หรือไม่ได้สมัครสมาชิก อาจจะได้ราคาสินค้าราคาปรกติ แต่ลูกค้าที่ Login แล้ว หรือกลุ่มลูกค้าที่เรากำหนดให้เป็นตัวแทนจำหน่าย, เป็นผู้ขายส่ง อาจกำหนดราคาที่ถูกกว่าได้
นอกจากนี้ การแบ่งกลุ่มลูกค้า ยังช่วยให้เราสามารถออกโปรโมชั่นที่แยกตามกลุ่มลูกค้าได้ ทำให้การออกโปรโมชั่นทำได้เฉพาะเจาะจง และใช้งานได้เฉพาะลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
2. ระบบออกโปรโมชั่นที่ซับซ้อน
Magento สามารถที่จะออกโปรโมชั่นได้อย่างหลากหลายและซับซ้อน เพราะ Magento นั้น การตั้งเงื่อนไขในการออกโปรโมชั่นจะอยู่ในรูปแบบของ If/else ได้ (ถ้า….แล้วให้…) โดยสามารถตั้งเงื่อนไขของโปรโมชั่นได้มากมาย เช่น
- ถ้าราคารวมของสินค้าในตะกร้า…
- ถ้าจำนวนรวมของสินค้าในตะกร้า…
- ถ้าน้ำหนักรวมของสินค้าในตะกร้า…
- ถ้าลูกค้าเลือกชำระเงินโดย…
- ถ้าลูกค้าเลือกวิธีการจัดส่งเป็น…
- ถ้าลูกค้าเป็นลูกค้าที่อยู่จังหวัด…
- ถ้าลูกค้าต่างประเทศ…
- ฯลฯ
เมื่อกำหนดเงื่อนไขเบื้องต้นแล้ว เรายังเพิ่มความซับซ้อนและกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมได้อีกหลายๆ ชั้น
ทำให้การออกโปรโมชั่นในเว็บของเรานั้น มีความเฉพาะเจาะจง และซับซ้อนได้ตามที่เจ้าของร้านคิด และยังกำหนดได้อีกว่าโปรโมชั่นนี้ใช้ได้ตั้งแต่วันไหนถึงวันไหน, ใช้ได้กี่คน, หรือคนหนึ่งใช้ซ้ำได้กี่ครั้ง
นอกจากนี้ยังมีระบบ Generate คูปอง เพื่อออกคูปองส่วนลดตามเงื่อนไขที่เรากำหนดได้ ทีละเยอะๆ โดยไม่ต้องมาคอยพิมพ์คูปองส่วนลดทีละใบ
3. ระบบ Attribute และ Attribute Set
Attribute หรือถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็คือคุณสมบัติของสินค้า ถือว่าเป็นจุดเด่นสุดๆ ของ Magento การใช้งานก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อน แต่ทำให้ร้านค้าของเราสามารถกำหนดการแสดงผลของสินค้าได้หลายหลายมากขึ้น หากเราใช้ Feature เรื่อง Attribute เต็มที่ ด้วยความเข้าใจ จะทำให้เว็บ e-Commerce ของเรา ทำสิ่งต่างๆ ได้มากมาย เช่น
- เราสามารถเรียงสินค้าใน Catalog สินค้า ตามสี, ตามขนาด, ตามความเก่า-ใหม่ หรือตามอะไรก็ได้ แล้วแต่เราจะกำหนด (เรียงตาม Attribute ของสินค้าที่เราสร้างขึ้น)
- เราสามารถสร้างตารางคุณสมบัติของสินค้า ในหน้ารายละเอียดสินค้าได้ง่ายๆ และสวยงาม
- เราสามารถแบ่งกลุ่มสินค้าตามคุณสมบัติของสินค้าได้ (Attribute Set)
- เมื่อลูกค้าเข้าไปหน้ารายการสินค้า ก็จะสามารถ Filter หรือเลือกดูสินค้า ตาม Attribute ที่เรากำหนดไว้ได้
- สามารถออกโปรโมชั่นของสินค้า ตาม Attribute ได้ เช่น หากซื้อสินค้า ยี่ห้อ A จำนวน 2 กล่องขึ้นไป รับส่วนลดทันที 5% (ยี่ห้อ คือ Attribute ตัวหนึ่งของสินค้า)
- เราสามารถตัด Stock สินค้าตาม Atrribute ที่เรากำหนดได้ เช่น ตัด Stock สินค้า ตามสี, ตาม Size
- สามารถสร้างสินค้าแบบปรับแต่งได้ เช่น สินค้าพวกคอมประกอบ ที่ต้องเลือกชิ้นส่วนต่างๆ มาใส่ หรือสินค้าพวก เสื้อผ้า, รองเท้า ที่ต้องเลือกสี เลือกไซส์ก่อนที่จะหยิบลงตะกร้า
4. ระบบ Multi Stock
Magento 2 มาพร้อมกับระบบ Multi Stock คือ เราสามารถกำหนด Stock ของสินค้าจากหลายๆ แหล่งได้ ซึ่งก่อนอื่น เราต้องไปเพิ่มคลังสินค้าของเราก่อน ว่ามีคลังสินค้าอยู่กี่แห่ง เมื่อเพิ่มคลังสินค้า (Inventory Source) แล้ว ตอนที่เราลงสินค้า เราจะสามารถกำหนดได้ว่า สินค้ารายการนี้ ในแต่ละคลังสินค้านั้นมีจำนวนเท่าไหร่ และเมื่อลูกค้าสั่งซื้อให้ตัด Stock จากคลังสินค้าใดก่อน
นอกจากนั้น เรายังสามารถสลับ หรือย้ายสินค้าระหว่างคลังสินค้าได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การลงสินค้าในระบบหลังร้านของ Magento นั้น มีความหลากหลาย และตอบสนองการใช้งานในหลายรูปแบบมากขึ้น
5. ระบบแก้ไขข้อมูลสินค้าพร้อมๆ กัน
หากเราต้องการที่จะแก้ไขข้อมูลสินค้าคราวละมากๆ เช่น เปลี่ยนหมวดหมู่สินค้า หรือแก้ไขข้อมูลสินค้าของสินค้า 500 ตัว หรือ แก้ไขราคาขายของสินค้าประเภทนี้ทุกตัว เราสามารถที่จะทำพร้อมๆ กันได้ โดยที่ไม่ต้องเข้าไปแก้ข้อมูลสินค้าทีละตัว ทำให้การแก้ไขข้อมูลสินค้ามีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น
6. สามารถกำหนดสิทธิ์ Admin User ได้โดยละเอียด
หากร้านของเรา มี Admin ที่ช่วยในส่วนต่างๆ หลายคน เราสามารถแบ่งกลุ่มของ Admin ได้เอง โดยแต่ละกลุ่ม Admin ยังสามารถกำหนดได้โดยละเอียดว่า จะให้ User กลุ่มนี้เข้าเมนูไหนได้บ้าง
ซึ่งการกำหนดสิทธิ์ของ Admin ได้โดยละเอียดนี้ ทำให้การแบ่งงานของ Admin หลังร้าน ทำได้ง่ายขึ้น และการบริการจัดการร้านค้า e-Commerce ขนาดใหญ่ ที่จำเป็นต้องมี Admin หลายๆ คน มีความสะดวกสบายมากขึ้นครับ
7. ระบบ Static Block และ Widget
Static Block คือการกำหนดเนื้อหาของเว็บออกเป็นส่วนๆ หรือก้อนๆ แล้วเอาเจ้า Block เหล่านี้ไปประกอบเป็นเนื้อหาในหน้าต่างๆ ของเว็บอีกที การที่เราแบ่งเนื้อหาออกเป็น Block จะช่วยให้การจัดการเนื้อหาในเว็บทำได้ง่ายขึ้น เมื่อมีการแก้ไขข้อมูล หรือแก้ไข Code ก็จะไม่กระทบส่วนอื่นๆ ของหน้าเว็บ
อีกอย่าง Block นั้น สามารถใช้ซ้ำได้ในหลายๆ หน้า หรือหลายที่ในเว็บได้ เช่น เราอาจจะเขียนเป็น Block เป็นเนื้อหาวิธีการสั่งซื้อ, หรือค่าขนส่งสินค้า แล้วแทรก Block นี้ไว้ในหน้ารายละเอียดสินค้า และหน้าวิธีการสั่งซื้อสินค้า
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาส่วนนี้ หากเราไม่ใช้ Block เราต้องตามไปแก้เนื้อหาทีละหน้า แต่ถ้าเราเขียนเนื้อหาลงใน Block เราก็แก้เนื้อหาแค่ใน Block อย่างเดียว แล้วเนื้อหาในทุกๆ หน้าที่เราแทรก Block ไว้ ก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย
ส่วน Widget เป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวก ในการแทรก Block ลงในส่วนต่างๆ ของเว็บ เช่น Header หรือ Footer ของเว็บ หรือตำแหน่งแปลกในหน้าต่างๆ ของเว็บ ทำให้ ไม่ต้องไปเขียน Code แทรกเนื้อหาต่างๆ ในธีมเอง
8. ระบบเว็บไซต์หลายภาษา และระบบ Multi Currency
Magento นั้น มาพร้อมกับระบบจัดการเว็บไซต์หลายภาษา และระบบหลายสกุลเงิน โดยที่เราไม่ต้องไปลง Extension ใดๆ เพิ่มเลย
Interface เรื่องการจัดการ 2 ภาษา เมื่อเทียบกับ WordPress หรือ CMS หลายๆ ตัว ผมว่าของ Magento นั้นทำออกมาได้ดีมากๆ และใช้งานง่ายมาก และยังแปลภาษา ในเว็บได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง
ส่วนระบบ Multi Currency นั้น เราสามารถกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนได้เอง หรือจะตั้งให้อัพเดทอัตราแลกเปลี่ยน ตามอัตราแลกเปลี่ยนจริงที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละวันก็ได้ครับ